แอลคาร์นิทีน ผลข้างเคียง พร้อมวิธี ป้องกัน ที่ต้องระวัง ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นได้ว่าอาหารเสริมที่มีสรรพคุณเรื่องของการควบคุมน้ำหนักมันจะมีแอล-คาร์นิทีนเข้ามาเป็นส่วนผสมเพราะเชื่อกันว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักและเสริมสร้างสมรรถภาพการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
ส่วนจะเป็นจริงตามที่หลายคนเชื่อหรือมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจได้มากขึ้นมาลองดูกัน
L-Carnitine เป็นกรดชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองได้ โดยอวัยวะอย่างไตและตับจะสร้างสารชนิดนี้ขึ้นมาจากกรดไลซีน (Lysine) และกรดเมไธโอนีน (Methionine) เก็บสะสมไว้ตามสมอง หัวใจ กล้ามเนื้อลาย และอสุจิ หน้าที่หลักๆก็คือการลำเลียงกรดไขมันไปตามเซลล์ต่างๆภายในร่างกายเพื่อนำมาแปรสภาพมาเป็นพลังงาน
ซึ่งการนำ แอลคาร์นิทีน มาใช้ในอาหารเสริมเพื่อบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพในด้านต่างจะได้แก่
L-Carnitine ควบคุมน้ำหนัก จากคุณสมบัติในการลำเลียงกรดไขมันเข้าไปในเซลล์ของร่างกายแล้วเผาผลาญมาใช้ในรูปพลังงาน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเชื่อว่าแอล-คาร์นิทีนจะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมันส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้ อย่างไรก็ดีกลไกภายในร่างกายของมนุษย์มีความแตกต่างกันและซับซ้อนมาก
ฉะนั้นการที่จะชี้ชัดไปเลยว่าแอล-คาร์นิทีนอย่างเดียวจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้จึงไม่อาจการันตีได้ เพราะยังมีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองกับผู้หญิง 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกกินแอล-คาร์นิทีนควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้กินแอล-คาร์นิทีน ผลออกมาว่าผู้หญิงทั้ง 2 กลุ่มมีน้ำหนักตัวไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมบางรายแอล-คาร์นิทีนยังมีผลข้างเคียงทำให้ท้องร่วงและคลื่นไส้ร่วมด้วย
L-Carnitine เสริมสมรรถภาพการออกกำลังกาย โดยเชื่อว่านักกีฬากินอาหารเสริมที่มีแอล-คาร์นิทีนเป็นส่วนผสมจะทำให้ออกกำลังกายได้นานและต่อเนื่องได้มากขึ้น เพราะแอล-คาร์นิทีนอาจเข้าไปช่วยในการลำเลียงออกซิเจนไปตามกล้ามเนื้อและช่วยให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีขึ้น
แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะเห็นผลชัดเจน และที่สำคัญผู้ป่วยที่มีโรคไตหรือผู้ที่มีประวัติว่าเคยมีอาการชักมาก่อนยิ่งควรต้องหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีส่วนผสมของแอล-คาร์นิทีน เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตอาจประสบกับภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้
L-Carnitine ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ โดยผลการวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสุขภาพหัวใจชนิดรุนแรงเมื่อกินอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีนเป็นประจำติดต่อกัน 12 เดือน พบว่ามีอัตราการเกิดภาวะหัวใจวายร่วมทั้งเสียชีวิตลดลง หากเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินอาหารเสริมชนิดนี้
แต่ในทางการแพทย์อาจยังไม่ได้รับรองเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้แอล-คาร์นิทีนในระยะยาว ฉะนั้นการจะเลือกกินอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีนจึงควรได้รับแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเสียก่อน
L-Carnitine ควบคุมเบาหวาน เหมาะสำหรับใช้กับผู้ป่วยเบาหวานชนิด 2 ที่กินแอล-คาร์นิทีนวันละ 4 กรัม รวมทั้งควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ต้องได้รับจากอาหารติดต่อกันเป็นระยะเวลา 10 วัน จะช่วยให้อาการต่อต้านอินซูลินน้อยลง และส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นมากเกินไป
ในขณะเดียวกันหากกินแอล-คาร์นิทีนในปริมาณวันละ 3 กรัมขึ้นไป จะทำให้มีผลข้างเคียงอย่าง คลื่นไส้ เป็นตะคริว อาเจียน และท้องร่วง ถึงแม้จะกินแอล-คาร์นิทีนในปริมาณ 2 กรัมซึ่งจัดได้ว่าเป็นปริมาณที่ปลอดภัยแต่ในระยะยาวก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบการย่อยอาหารได้เล็กน้อย เช่น อาการคลื่นไส้ ไม่สบายท้อง เป็นต้น
ในกรณีที่ต้องการรับประทานอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีนเพื่อใช้สำหรับบำรุงสุขภาพนั้น จึงควรที่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาหารเสริมอย่างแอล-คาร์นิทีนจะส่งผลทำให้เกิดอาการข้างเคียง อาทิ ท้องร่วง คลื่นไส้ ชัก อาเจียน และไม่สบายท้อง ยิ่งหากเป็นกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างเช่น
1 . สตรีมีครรภ์ หรือ สตรีที่อยู่ในช่วงของการให้นมบุตร
2 . เด็กที่อยู่ในวัยเรียนไม่แนะนำให้กินอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
3 . ผู้ป่วยที่เป็นไฮโปรไทรอย์ไม่ควรกินอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีน เพราะอาจยิ่งทำให้อาการของโรคแย่หรือหนักขึ้นกว่าเดิม
4 . ผู้ป่วยที่มีอาการชักควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารเสริมแอล-คาร์นิทีนเพราะมีโอกาสที่จะเสี่ยงต่ออาการชักได้สูงขึ้นกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้กินแอล-คาร์นิทีน
ซึ่ง แอล-คาร์นิทีนตามธรรมชาติ ที่สามารถพบได้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และปลา คนที่รับประทานอาหารตามปกติทั่วไปจึงมักได้รับแอล-คาร์นิทีนในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว นอกจากนั้นแอล-คาร์นิทีนที่อยู่ในอาหารยังทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า แอล-คาร์นิทีนที่อยู่ในรูปแบบของอาหารเสริมเสียอีก
นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นผู้ทานมังสวิรัติซึ่งแน่นอนว่าจะเสี่ยงต่อการรับแอล-คาร์นิทีนได้น้อยจึงอาจจำเป็นต้องรับแอล-คาร์นิทีนเพิ่มขึ้นโดยการกินในรูปแบบอาหารเสริมแทน